วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันเถอะ -- ว่าด้วยเรื่องกออินอกิน

จริงๆแล้วอยากให้บล็อกนี้มีไว้เผยแพร่ความรู้ที่เป็นประโยชน์ด้านคอมพิวเตอร์  แต่ไปๆมาๆ ด้วยความที่ไม่ค่อยมีเวลา แล้วก็รู้สึกว่าถ้าไม่อัพเดทบล็อกนานมากๆ ก็คงจะเสียความตั้งใจหมด เลยกลายเป็นว่า แบ่งเวลานิดๆหน่อยๆ มาเขียนเรื่องที่เป็นประโยชน์เรื่องอื่นแก้ขัดไปก่อนละกันนะ (เพราะการเขียนบล็อกเกี่ยวกับความรู้คอมพิวเตอร์มันใช้เวลาเขียนนานมากเลย)

วันนี้ฉลองที่เหนื่อยมากจัด ไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือ ก็เลยแวะมาเขียนอะไรเล่นๆสักหน่อย เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองให้ความสำคัญอยู่ช่วงนี้ คือเรื่องของสุขภาพร่างกายตัวเอง

อันที่จริงแล้ว เราไม่ใช่คนที่สนใจดูแลตัวเองเท่าไหร่ ประมาณว่าใช้ร่างกายจนคุ้มแต่ไม่สนใจบำรุงกันเลย ไม่ว่าจะบำรุงภายนอกด้วยการโปะเครื่องสำอางต่างๆ หรือบำรุงภายในด้วยการกินอยู่อย่างถูกวิธี ก็ไม่เคยจะนึกถึง ยิ่งตอนเรียน เราใช้ร่างกายอย่างผิดสุขลักษณะมากๆ หลักๆก็ ทำงานกลางคืนนอนกลางวัน บางทีก็ไม่นอนข้ามวันข้ามคืน มากที่สุดก็ไม่นอนประมาณ  2 วันเต็มๆ กินไม่เป็นมื้อ หิวเมื่อไหร่ก็กิน และไม่ค่อยกินข้าว กินอาหารเบาๆแค่ให้พอหายหิว บวกกับภาวะเครียด จนสุดท้ายร่างกายมันเริ่มส่อแววให้เห็นว่า ถ้าไม่เลิกทำตัวแบบนี้ คงจะคบกันไม่ได้แล้วนะ

เนื่องจากอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ ร่างกายก็เริ่มไม่เหมือนเดิม เราก็เลยคิดว่าต้องปรับปรุงตัวแล้วล่ะ ไม่งั้นไอ้ร่างเน่าๆนี่คงจะเลิกคบกันแน่ๆ ก็เลยหันมาใส่ใจดูแลตัวเอง เท่าที่พอจะทำได้ (และถ้าไม่ขี้เกียจซะก่อน)

เรื่องอาหารการกิน ก็พยายามกิน 3 มื้อ โดยที่ มื้อเช้ากับกลางวันจะกินปกติ แต่มื้อเย็นจะลดอาหารจำพวกแป้งลง  และก็เพิ่มวิตามินให้กับร่างกาย ด้วยการกินอาหารพวกธัญพืชเสริมเข้าไป พยายามเพิ่มโปรตีนเข้าไปในมื้ออาหาร หลักๆจะพยายามเป็นโปรตีน จากปลา ไก่ ไข่ และเต้าหู้ และลดอาหารจำพวกทอด หรือมันๆ ทำให้อาหารแต่ละมื้อของเราก็จะมี  (สลับสับเปลี่ยนไปแต่ละวัน)

  • ปลาทู (มีโอเมกก้า3 ช่วยเพิ่มความจำ) มีโปรตีน ไขมันน้อย
  • ไข่ไก่ เต้าหู้ หรือ ไก่ เพื่อโปรตีน ถ้าไม่มีก็เนื้อหมู
  • ผักเยอะๆ พยายามกินผักหลายๆชนิด (ตระกูลเห็ด เห็ดฟางมีธาตุเหล็กสูง บร็อคโคลี คะน้า) 
  • ระหว่างวัน จะกินธัญพืช พวก งาดำคั่ว (เพิ่มแคลเซียม) เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง อัลมอนด์ เพื่อเพิ่มพวกวิตามินบี
  • ผลไม้ตามฤดูกาล ฝรั่ง มีวิตามินซีสูง สับปะรดช่วยย่อย(แต่หวาน อาจมีน้ำตาลเยอะ) มะละกอ (ช่วยในการขับถ่าย)  กล้วย (มีโพแทสเซียมทำให้สดชื่น)
  • เปลี่ยนแหล่งกินคาโบไฮเดรตให้ได้จากผักกินหัวบ้าง เช่น มัน ฟักทอง เผือก (สำหรับคนที่ไม่ได้กินข้าวกล้อง)
  • พยายามกินอาหารที่ทำจากถั่ว ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลันเตา ถั่วพู มีประโยชน์ทุกถั่ว

ผลจากการที่เรากินแบบนี้มาระยะหนึ่ง ทำให้พบว่า เราสามารถรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ได้ ทั้งที่เราเป็นคนชอบกินของหวานมาก ช็อคโกแลตนี่กินเป็นอาหารหลักยังได้ (แต่เราลดปริมาณการกินของหวานลงไปเยอะ)  และระบบขับถ่ายเป็นปกติดี (เราเป็นคนท้องผูกง่ายมาก) อาการผมร่วงก็ลดความรุนแรงลง (ตอนแรกใช้แชมพูสำหรับผมร่วงยังไม่ดีขึ้นเลย)

ที่น่าตื่นเต้นสำหรับเราคือ เราค้นพบว่า ถั่วให้พลังงานสูงมาก และอิ่มท้องได้นานจริงๆ เพราะเราเคยทดลองกินอัลมอนด์คู่กับผลไม้เป็นมื้อเย็น แทนการกิน โยเกิร์ตหรือนมกับผลไม้ (บวกไข่ต้มอีกฟองด้วย) พบว่า อัลมอนด์ทำให้อิ่มท้องได้นานกว่า (นอนตีหนึ่งยังไม่หิว)

ปัญหาคือ เราเป็นคนไม่ชอบกินเครื่องในสัตว์ และไม่ค่อยชอบกินเนื้อสัตว์ (จริงๆเราไม่ชอบกินปลามากที่สุด) แต่จะชอบกินอาหารจำพวกแป้งกับผักผลไม้มาก ดังนั้น เราก็เลยชดเชยธาตุเหล็กจากผัก หาโปรตีนจากไข่กับปลาทูและอกไก่ (มีไขมันน้อย) ลดขนมหวานโดยเฉพาะที่มีแป้งประกอบ ลดปริมาณข้าวขาว แล้วเราก็กินมันต้มแทน 

อีกเรื่องนึงที่ถือได้ว่าทรมานจิตใจสุดๆ นอกจากลดปริมาณขนมหวาน ก็คือ การลดปริมาณขนมไร้สาระ เพราะว่าของกินที่เราชอบมากที่สุดในโลก ก็มีแต่พวก เจลลี่ (จอลลี่แบร์ กับพวกเจลลี่ที่มีน้ำตาลโรย) มาร์ชเมลโล่ มะขามคลุกหวานๆ ช็อคโกแลต ป๊อกกี้รสสตอเบอรี่ และป๊อกกี้ทูโทน ฯลฯ ซึ่งมีแต่น้ำตาลกับแป้งทั้งนั้น 

แต่...เราต้องลดการกินของพวกนี้ลง  ดังนั้นเวลาที่อยากกินขนมไร้สาระเราจะกินอัลมอนด์ และพวกเมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มีหลายๆครั้งที่เราอยากกินของหวานมากๆ แต่พยายามอดใจไว้ เราก็จะกินโยเกิร์ตรสสตอเบอรี่ (ยี่ห้อเมจิ มีลูกสตอเบอรี่ใหญ่มาก) แล้วจินตนาการว่ามันคือป๊อกกี้รสสตอเบอรี่

ท้ายนี้อยากจะบอกว่า ถึงแม้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมันจะยาก แต่ก็อยากให้ทำกันค่ะ เพราะผลที่ได้รับมันคุ้มค่าจริงๆ แม้จะต้องอดใจจนทรมานแค่ไหน แต่พอทำนานๆไปจะเริ่มทรมานน้อยลง อย่างเราทุกวันนี้ อาการเพ้อถึงขนมไร้สาระกับเค้กหอมๆ เนื้อละเอียดนุ่มลิ้น ที่ชวนให้เราไปซื้อกินมันก็ลดความถี่ลงได้ค่ะ :)

ปล. เลือกซื้ออัลมอนด์ที่ไม่อบเกลือได้จะดีมากค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น