วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำอาหารกินเอง -- แกงกะหรี่ญี่ปุ่น

ไม่ได้อัพเดทบล็อกซะนาน มัวแต่ยุ่งๆ พอช่วงหลังนี้ เริ่มกลับมาฮิตทำอาหารกินเอง ก็เลยคิดว่ามาอัพบล็อกเกี่ยวกับอาหารฆ่าเวลาระหว่างกลั่นกรองเตรียมเขียนเรื่องลอจิกทีหลังดีกว่าค่ะ

สำหรับเมนูวันนี้คือ แกงกะหรี่เนื้อญี่ปุ่นนั่นเองงง

คือว่าเราเคยไปกินแกงกะหรี่ที่ร้าน โคโค่อิจิบัง แล้วรู้สึกว่ามันอร่อยดี คือถ้าไม่ใส่ผักกาดดองหวานก็คงจะลดความอร่อยลงไปอีกนะคะ ฮ่าๆๆๆ เพราะว่าเวลากินกับผักกาดแล้วมันจะแก้เลี่ยนได้ดี แต่ว่าเมนูแกงกะหรี่ในร้านโคโค่ก็ราคาแพงใช่ย่อย จานละหนึ่งร้อยห้าสิบบาท(โดยประมาณ)ขึ้นไป จะช้าอยู่ไย เราก็เลยสรรหาวิธีทำแกงกะหรี่แบบง่ายๆด้วยตัวเอง ค้นหาวิธีในอินเตอร์เน็ทก็มีวิธีสารพัดเลยค่ะ สูตรใครต่อสูตรใครเต็มไปหมด เราก็เลยจับข้อดีแต่ละสูตรมายำรวมกันแล้วก็ทำเองมั่วๆ ผลลัพธ์ก็ออกมาใช้ได้ค่ะ


แกงกะหรี่เนื้อญี่ปุ่น พยายามทำไข่เจียวโปะแต่ไข่ขาดไปหน่อย

สำหรับน้ำแกงกะหรี่หม้อนี้ที่เราทำ ลงทุนไปราวๆ 200 บาท สามารถกินได้ 6 จานเลยค่ะ แต่ก็เสียเวลาทำนานถึงเกือบ 2 ชม.  สำหรับสูตรแกงกะหรี่ที่เราทำเป็นครั้งแรกที่เราหัดทำเลย ก็ไม่ได้มีน้ำซุปมาก่อน ใช้น้ำเปล่านี่ล่ะค่ะ อาจจะไม่อร่อยเท่าโคโค่อิจิบัง แต่เราว่ามันก็ทดแทนกันได้ถ้าเทียบกับราคานะคะ :)

ส่วนประกอบ (ได้แกงกะหรี่ประมาณ 6 ที่)
1.  เนื้อสัตว์ตามชอบ  ในที่นี้เราใช้เนื้อวัวค่ะ (พอดีมีเหลือในตู้เลยจัดการซะ)
2.  น้ำซุป (เราไม่มีใช้น้ำเปล่าแทนค่ะ)
3.  มันฝรั่ง                                                  2     ผล
4.  แครอท                                                  1    หัว
5.  หัวหอมใหญ่                                           1     หัว
6.  แอปเปิ้ล                                                1/2  ผล
7.  ก้อนแกงกะหรี่สำเร็จรูป(วันนี้เราใช้ยี่ห้อ S&B)  100 กรัม
8.  ดาร์กช็อคโกแลต นิดหน่อย (ใช้สำหรับทำให้สีของน้ำแกงเข้มขึัน)                                  
9. นมจืด  (เราใช้นมสดสำหรับดื่มแบบขวดนี่ล่ะค่ะ)  50 มล.
10. น้ำมันพืชนิดหน่อย
11. โชหยุหรือเกลือ นิดหน่อย (ไว้เติมกรณีชอบรสเค็ม)
12. พริกไทป่น (ไว้เติมกรณีชอบรสเผ็ด)

ถ้าใครชอบกินมันฝรั่งหรือแครอทเยอะๆ ก็เพิ่มลงไปได้นะคะ เพราะที่เราทำนี่จะได้ปริมาณไม่มากนัก

วิธีทำ
1. ตั้งกะทะใส่น้ำมันพืช เทหัวหอมใหญ่ที่หั่นเป็นสี่เหลี่ยมเต๋าเล็กๆลงไปผัด
2. พอหอมใหญ่เริ่มใส ใส่เนื้อวัวที่หั่นเป็นชิ้นเต๋าลงไปผัดจนเนื้อสุก ใส่แครอทกับมันฝรั่งที่หั่นเป็นชิ้นๆเรียบร้อยแล้วลงไป คนให้น้ำมันเคลือบทั่วชิ้นมันฝรั่งกับหอมใหญ่
3. เติมน้ำซุป หรือน้ำเปล่าลงไป ตั้งเตาทิ้งไว้ด้วยไฟปานกลาง เคี่ยวไปเรื่อยๆจนกระทั่งผักเริ่มสุก (อันที่จริงเราแบ่งแครอท กับมันฝรั่งออกมาส่วนนึง เอามันฝรั่งกับแครอทมาต้มและปั่นละเอียดให้เข้ากัน เทลงไปในน้ำซุปตอนระหว่างรอผักสุกด้วยค่ะ ทำแบบนี้เพราะน้ำแกงจะได้ข้นๆ แต่จริงๆจะไม่ต้องทำก็ได้)
4. ใส่แอปเปิ้ลที่บดละเอียดลงไป (การใส่แอปเปิ้ลจะช่วยให้น้ำแกงมีรสชาติหวาน ถ้าใครไม่ชอบหวาน ให้ใส่น้อยกว่าครึ่งผลค่ะ)
5. ดับไฟ รอจนน้ำแกงเริ่มอุ่นแล้วจึงใส่ก้อนแกงกะหรี่สำเร็จรูปลงไป คนให้ละลาย ลองชิมรสชาติ ถ้าชอบเผ็ดให้เติมพริกไทลงไป ถ้าคิดว่าไม่ค่อยออกรสเค็มก็เติมโชหยุหรือเกลือลงไปได้ค่ะ
6. เมื่อปรุงรสได้ที่ ตั้งไฟอีกครั้งด้วยไฟอ่อน ใส่ช็อคโกแลตลงไปเพื่อเพิ่มสีของน้ำแกงให้เข้มขึ้น (เดิมทีน้ำแกงจะออกสีเหลือง ถ้าชอบสีออกดำๆสวยๆก็ใส่ช็อคโกแลตลงไปได้ค่ะ แต่ถ้าใครไม่ชอบข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย)
7. เคี่ยวน้ำแกงด้วยไฟอ่อน-ปานกลางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผักเปื่อยเละเท่าที่เราต้องการแล้ว เติมนมสดเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความมันข้น แล้วยกลงเป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ

เราใช้เวลาทำทั้งหมดราวๆสองชั่วโมง แต่ถ้ายิ่งเคี่ยวทิ้งไว้นานๆก็จะยิ่งอร่อยขึ้น แล้วถ้าเก็บข้ามคืนไว้ มาอุ่นกินอีกครั้งจะอร่อยเพิ่มขึ้นนะคะ เพราะน้ำแกงมันซึมเข้าเนื้อมากขึ้น เราคิดว่าครั้งหน้าจะเปลี่ยนยี่ห้อก้อนแกงกะหรี่ เผื่อจะอร่อยมากขึ้นค่ะ
ขอให้สนุกกับการทำอาหารนะคะ ^__^

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘

สวัสดีปีใหม่ค่า ขอให้ปี ๒๕๕๘ นี้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกๆท่านนะคะ

หายหน้าไปไม่ได้อัพเดทบล็อกซะนานเลย ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวคำว่า สุขสันต์วันปีใหม่ทุกๆคนนะคะ
ปีที่ผ่านมามัวแต่ยุ่งๆกับเรื่องเรียนเรื่องสอบ ตอนนี้ก็ฝ่าฟันกันไปจนหมดเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็ตั้งหน้าตั้งตามุ่งงานวิจัยที่ต้องนำเสนออาจารย์กันต่อไป

โดยปกติแล้วมักจะนิยมทบทวนกันว่า ปีที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรไปบ้างเหลืออะไรที่ยังไม่ได้ทำตามที่คิดไว้  และปีต่อไปตั้งเป้าหมายอะไรไว้บ้าง ส่วนตัวเราเองแล้วไม่ค่อยจะกลับไปสำรวจอะไรอย่างละเอียดเท่าไหร่ ไม่ค่อยจะตั้งเป้าหมายอะไรชัดเจนด้วย ก็ดูเหมือนเป็นคนไร้ระเบียบแบบแผน พูดง่ายๆเราก็คือคนขี้เกียจนั่นเอง ฮ่าๆๆ

จริงแล้วสำหรับตัวเราเองมีแค่เป้าหมายกว้างๆอยู่แค่สองข้อที่ตั้งใจไว้ เป็นเป้าหมายที่สำเร็จได้ยาก กว่าจะเห็นผลกันก็คงช้า หรืออาจจะไม่สำเร็จเลยก็ได้ แต่ก็เรียกได้ว่านั่นคือแผนการชีวิตที่เรามีในใจจริงๆ และเป็นความต้องการของตัวเองจริงๆ นอกนั้นก็ทำอะไรไปตามใจเรื่อยๆ  อ่านแล้วอย่าเลียนแบบเราเลยนะคะ เราเป็นบุคคลผู้ซึ่งบ้าๆบอๆ ฮ่าๆๆ

แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราคิดว่าเราควรจะบันทึกอะไรสักหน่อยที่เกี่ยวกับเรื่องราวในปี ๒๕๕๗ ที่เพิ่งผ่านไปดีกว่า
๑. การเรียนให้ได้เกรดดีมากไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ แต่การจะเรียนรู้บางเรื่องให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเชี่ยวชาญอาจจะต้องการความสามารถแฝงบางอย่างที่ไม่ได้มีอยู่ในตัวทุกคน
๒. สัตว์มันสื่อสารกับมนุษย์ไม่ได้ ร้องขออะไรก็ไม่ได้ หิวก็หุงหากินไม่เป็น มันก็ขอแค่มีที่กินที่อยู่ที่วิ่งเล่นบ้าง ที่ว่ากันว่าสัตว์สร้างความรำคาญให้ เป็นตัวปัญหา เราคิดว่ามันก็ยังไม่อันตรายเท่าปัญหาที่มนุษย์ด้วยกันสร้างขึ้นมาเลย
๓. เห็นหน้ากันเมื่อเช้าสายตาย สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย บ่ายยังรื่นเริงกาย เย็นดับ ชีพนา เย็นอยู่หยอกลูกด้วย ค่ำม้วย ดับสูญ
๔. แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นความทุกข์ แต่เพราะความผูกพันก็ยังทำให้เราเสียน้ำตาได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง
๕. ทำไมเราต้องการอิทธิบาท ๔ เพราะนั่นเป็นทางแห่งความเพียร อันซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จของสิ่งที่ตั้งใจ ลองแค่เอาใจออกห่างจากเรื่องที่เคยสนใจสักพักสิ จะรู้ว่าความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม ความตั้งใจอันแรงกล้าที่เคยมีครั้งแรกๆมันหายไป
๖. ชีวิตนี้อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท ขอให้เตรียมใจให้พร้อมยอมรับ เพื่อที่ว่าเมื่อเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแล้ว เราจะได้ไม่ฟูมฟาย ไร้สติจนทำอะไรไปโดยไม่ยั้งคิด แล้วก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์
๗. การมีความเมตตาเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องจำไว้ว่า ถ้าเมตตาเขาแต่ทำเราเดือดร้อน ก็แสดงว่าไม่เมตตาตนเอง เมื่อทำไปแล้วตัวเองก็รู้สึกทุกข์ใจจะทำไปทำไม

อากาศเย็นๆต้อนรับปีใหม่แบบนี้ ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆเลย ที่บ้านอากาศหนาวมาก ต้องก่อไฟกองฟางนั่งผิงไฟกันตอนเช้าๆ กินมันเผาไปด้วยอร่อยสุดๆ ฮิๆๆ เดี๋ยวนี้ไม่หนาวขนาดนั้นแล้ว แถมกองฟางก็ไม่มี อย่างว่าแหละนะ โลกมันไม่เที่ยงนี่เนาะ สวัสดีปีใหม่ค่าาาาาาา ^ ^